“ฮอนด้า ซีวิค ใหม่”ปรับให้เนียน-เน้นประหยัด

หลังอวดโฉมยั่วน้ำลายอยู่พักใหญ่ ด้วยตัวต้นแบบทั้งซีดานและคูเป้ ในที่สุดฮอนด้าก็เผยโฉมรูปลักษณ์ที่ใช้ในการทำตลาดจริงของ "ซีวิค ใหม่" ซึ่งเป็นเจนเนอเรชันที่ 9 ออกมาแล้ว ซึ่งพร้อมลุยตลาดสหรัฐอเมริกาในเดือนมีนาคมนี้ ทั้งตัวถังซีดาน และคูเป้ ด้วยการชูจุดเด่นเรื่องความประหยัดน้ำมันกับการเพิ่มรหัสใหม่อย่าง HF ออกสู่ตลาด ตรงนี้สร้างความฮือฮาและเรียกความสนใจได้เป็นอย่างดี เพราะว่าซีวิคเป็นรถยนต์ที่อยู่ในกระแสความสนใจของคนทั่วไป ซึ่งก็รวมถึงนักขับชาวไทย แต่ที่ชวนให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้นคือ ข่าว (ลือ) ในอินเตอร์เนตที่ว่า ฮอนด้ากำลังจะยุติบทบาทของซีวิคญี่ปุ่น และทำให้ซีวิคที่เห็นอยู่นี้ถูกวางตัวให้กลายเป็นมาตรฐานสำหรับขายทั่วโลก (หรือเปล่า ?)
ก่อนอื่นทำความเข้าใจกันสักหน่อยว่า ในเจนเนอเรชันที่แล้ว ซึ่งเป็นรุ่นที่ 8 ที่เปิดตัวเมื่อปลายปี 2005 ฮอนด้าแบ่งซีวิคใหม่ออกเป็น 3 โฉม คือ ยุโรปที่มีตัวถังแฮทช์แบ็กทั้ง 3 และ 5 ประตู, ญี่ปุ่นและตลาดพวงมาลัยขวารวมถึงเมืองไทย และสุดท้าย คือ โฉมอเมริกาเหนือและตลาดพวงมาลัยซ้าย
เวอร์ชันยุโรปตัดทิ้งไปได้เลยเพราะตามปกติแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับใครทั้งในเชิงของตัวถัง และรสนิยม โดยฮอนด้าจับแยกการพัฒนาออกไปต่างหาก ขณะที่ญี่ปุ่นและอเมริกาเหนือ ความจริงแล้วคือ คันเดียวกันแต่ฮอนด้าสร้างความแตกต่างในเชิงสายตา ด้วยการเปลี่ยนไฟหน้า-หลัง และกันชนหน้า-หลังใหม่ ขณะที่ตัวถังช่วงกลาง และรายละเอียดหลักๆ ในห้องโดยสารใช้ร่วมกัน
จะเห็นได้ว่าซีวิค ญี่ปุ่น และอเมริกาเหนือเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด ส่วนตลาดไทย ฮอนด้าเลือกใช้รูปลักษณ์ของญี่ปุ่นในการทำตลาด และเมื่อมาถึงรุ่นนี้ ปัญหาก็คือมีข่าวว่าฮอนด้ากำลังจะยุติบทบาทของซีวิคในญี่ปุ่น แล้วตลาดไทยรวมถึงตลาดแห่งอื่นที่ใช้ซีวิครูปโฉมเดียวกันจะหันไปใช้รูปลักษณ์ไหนกันแน่
ถ้าข่าว (ลือ) เรื่องฮอนด้าจะเลิกขายซีวิคในญี่ปุ่นเป็นจริงขึ้นมา แล้วฮอนด้าจะกล้าควักเงินลงทุนอีกครั้งเพื่อปรับหน้าตาของซีวิคให้ดูสดใหม่ขึ้นเพื่อรองรับกับตลาดไม่กี่ประเทศที่เคยใช้รูปโฉมมีปริมาณยอดขายไม่ได้สูงมาก หรือว่าจะยอมใช้รูปลักษณ์นี้สำหรับขายทั่วโลกยกเว้นยุโรป...อีกไม่นานก็คงได้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้

อย่างไรก็ตาม กลับมาที่ตัวรถกันก่อน สำหรับซีวิค ใหม่เจนเนอเรชันที่ 9 ที่เห็นอยู่นี้เป็นเวอร์ชันอเมริกาเหนือ มีขายทั้งตัวถังซีดาน และคูเป้ ด้วยรูปลักษณ์ที่แทบจะถอดแบบมาจากตัวต้นแบบที่เปิดตัวในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2011 เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ส่วนในห้องโดยสาร ยังคงเอกลักษณ์แบบ 2 ชั้นเหมือนกับซีวิค FD แต่ออกแบบชั้นบนให้มีความยาวขึ้นและพื้นที่ตรงส่วนของชุดมาตรวัดและแผงคอนโซลกลางเหมือนกับโอบล้อมเข้าหาผู้ขับ
ประเด็นที่ฮอนด้าชูให้เป็นจุดเด่นสำหรับซีวิคใหม่รุ่นนี้คือ ความประหยัดน้ำมัน ด้วยการต่อท้ายชื่อรุ่นด้วยคำว่า HF ซึ่งน่าจะย่อมาจาก High Fuel economy โดยจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว i-VTEC 1,800 ซีซีในรหัส R18A เหมือนกับรุ่นที่แล้ว แต่มีการปรับปรุงให้ตอบสนองในด้านความประหยัดน้ำมันมากขึ้น โดยทางฮอนด้ายังไม่ได้เปิดเผยถึงรายละเอียดของการปรับปรุง และก็รวมถึงตัวเลขแรงม้าและแรงบิดที่จะยังอยู่ในระดับ 140 แรงม้า และ 17.6 กก.-ม.

ที่น่าสนใจคือ ตัวเลขค่าความสิ้นเปลืองของรุ่น HF ที่ฮอนด้าประกาศออกมานั้นอยู่ในระดับ 41 ไมล์/แกลลอน หรือ 16.6 กิโลเมตร/ลิตร สำหรับการขับบนไฮเวย์จากการทดสอบโดยหน่วยงาน EPA หรือ Environment Protection Agency ซึ่งดีกว่ารุ่นที่แล้วร่วมๆ 5 ไมล์/แกลลอน (2 กิโลเมตร/ลิตร) เลยทีเดียว

ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงเฉพาะรุ่นเบนซินธรรมดาเท่านั้น สำหรับรุ่นไฮบริด แม้ว่าจะใช้พื้นฐานเดิมของเครื่องยนต์เบนซิน 1,500 ซีซี i-VTEC จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าในการช่วยขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด IMA แต่ทว่าฮอนด้าก็เปลี่ยนการใช้แบตเตอรี่ในตัวรถจากแบบนิเกิลเมทัล ไฮดรายมาเป็นแบบลิเธียม-ไอออน
ในรุ่นไฮบริด ฮอนด้าวางเป้าหมายทำตัวเลขความประหยัดน้ำมันในการทดสอบแบบผสมในเมืองนอกเมืองอยู่ที่ 45 ไมล์/แกลลอน หรือ 18.3 กิโลเมตร/ลิตร หรือดีกว่ารุ่นเดิมถึง 4 ไมล์/แกลลอน หรือ 1.6 กิโลเมตร/ลิตร โดยทั้ง 2 รุ่นจะมีการติดตั้งชุดสเกิร์ตสำหรับแอโรไดนามิกเพื่อเพิ่มความเพรียวลม และเป็นการช่วยลดแรงต้านของอากาศในขณะแล่น ซึ่งจะส่งผลไปยังความประหยัดน้ำมัน

ขณะที่รุ่นธรรมดาหันมาเน้นความประหยัดกันมากขึ้น แต่ดูเหมือนว่ารหัสแรงอย่าง Si กลับสวนทาง เพราะแทนที่จะใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ 2,000 ซีซีในรหัส K20A เหมือนเดิม ฮอนด้ากลับเปลี่ยนใหม่ หันมาวางเครื่องยนต์ที่มีซีซีเยอะแทน โดยเป็นขุมพลัง 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว 2,400 ซีซี ที่รีดกำลังออกมาได้ในระดับ 200 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 23.5 กก.-ม. ซึ่งเครื่องยนต์ที่ซีซีเยอะขึ้นทำให้มีแรงบิดเพิ่มขึ้นจากเดิม 22% ส่วนความประหยัดน้ำมัน ไม่น่าเชื่อว่าจะลดลงจาก Si รุ่นเดิม 2 ไมล์/แกลลอน หรือ 0.8 กิโลเมตร/ลิตรตามมาตรฐานการวัดของ EPA ลงมาอยู่ที่ 12.5 กิโลเมตร/ลิตรสำหรับการขับนอกเมือง อีกรุ่นที่จะมีขายควบคู่กันคือ GX หรือรุ่น CNG ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติควบคู่กับเครื่องยนต์ 1,800 ซีซี
การทำตลาดในสหรัฐอเมริกาจะเริ่มขึ้นเดือนมีนาคมนี้ โดยราคายังไม่ได้เปิดเผยว่าจะอยู่ในระดับเท่าไร โดยซีวิค FA ที่ขายอยู่มีราคาเริ่มต้นประมาณ 15,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 450,000 บาท ส่วนบ้านเราก็ต้องรอดูต่อไปว่า ซีวิคใหม่ที่จะเปิดตัวออกมา หน้าตาจะเป็นอย่างไร

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ฮอนด้ารีคอล “แจ๊ซ” ขายทั่วโลก 6 แสนคัน

ฮอนด้าประกาศเรียกรถยนต์กลับมาซ่อม หรือ Recall โดยคราวนี้เป็นคิวของซับคอมแพ็กต์รุ่นดังอย่างฟิต/แจ๊ซ ซึ่งถูก Recall มากกว่า 6 แสนคันทั่วโลก เพื่อซ่อมแซมชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ เพราะอาจจะมีแนวโน้มของการเสียหายและทำให้เครื่องยนต์ดับได้หากใช้ไปนานๆ ฮอนด้าเผยว่าปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งนี้มาจากสปริง 4 ตัวที่อยู่ในส่วนของระบบวาล์วในเครื่องยนต์และมีการเคลื่อนตัวผิดปกติ โดยเมื่อใช้ไปนานๆ สปริงอาจจะมีการโค้งงอ หรือหักได้ จนเป็นเหตุให้เครื่องยนต์มีเสียงดังผิดปกติ จนนำไปสู่เครื่องยนต์ดับ และเสียหายในที่สุด

อย่างไรก็ตาม การรีคอลยังไม่มีการระบุถึงอุบัติเหตุที่เป็นผลมาจากความผิดปกติในเรื่องนี้ และทางฮอนด้าจะเริ่มแจ้งปัญหาไปยังเจ้าของรถโดยเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป แต่ถ้าใจร้อน ทางฮอนด้าเผยว่าสามารถเข้าเว็บไซต์ของฮอนด้าพร้อมกับแจ้งเลขตัวถังเพื่อตรวจสอบว่ารถยนต์คันนั้นจำเป็นจะต้องถูก Recall เพื่อมาเปลี่ยนชิ้นส่วนหรือไม่

ญี่ปุ่นจะเป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบจากการ Recall ครั้งนี้ เพราะมีการ Recall เป็นจำนวน 167,883 คัน ส่วนสหรัฐอเมริกามีการ Recall จำนวน 97,201 คัน โดยเป็นฟิต/แจ๊ซรุ่นปี 2009 และ 2010 โดยคาดว่าการ Recall ครั้งนี้จะทำให้ฮอนด้าต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 39 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1,170 ล้านบาท

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

Honda เผยโฉม Jazz Facelift และ Jazz Hybrid เวอร์ชั่นยุโรป

Honda เผยโฉม Jazz Facelift และ Jazz Hybrid เวอร์ชั่นยุโรป เริ่มจาก Jazz Facelift หรือรุ่นแต่งหน้าทาปากประจำปี 2011 ที่มี 2 เครื่องยนต์ทางเลือกสำหรับชาวยุโรป นั่นก็คือ เครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร 90 แรงม้าและ 1.4 ลิตร ขนาด 100 แรงม้า ที่มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ CVT และ torque converter รวมถึง paddle shifter ในขณะที่ช่วงล่างได้รับการปรับปรุงในส่วนของระบบกันสะเทือนส ในเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอกนั้น การปรับเปลี่ยนแน่นอนว่าต้องเกิดขึ้นกับส่วนของกันชนหน้า-หลังที่ Honda อ้างว่าช่วยลดแรงเสียดทานได้มากขึ้น แผงกระจังปรับปรุงใหม่ ชุดไฟหน้าก็เป็นของใหม่ด้วยเช่นกัน ส่วนชุดไฟท้ายมาพร้อมเลนส์ชุดใหม่ โดยสีตัวถังมีให้เลือก 2 สีคือ สีน้ำเงิน Deep Sapphire Blue และสีบรอนซ์เงิน Ionized Bronze
ภายในห้องโดยสารของ Honda Jazz เวอร์ชั่นยุโรปนี้ใช้โทนสีที่เข้มมากขึ้นกว่าเดิม เบาะนั่งหุ้มด้วยวัสดุผ้าเป็นมาตรฐานโดยมีอ็อปชั่นเป็นชุดหุ้มหนัง มีการตกแต่งด้วยวัสดุสีโครเมี่ยม และใช้ไฟเรืองแสงบริเวณแผงหน้าปัดเป็นสีส้ม ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ ระบบ “Magic Seats” หรือเบาะนั่งมหัศจรรย์ที่ถือว่าเป็นอุปกรณ์มาตรฐานอย่างหนึ่ง สำหรับส่วนของพื้นที่จุสัมภาระมีการแบ่งช่องเก็บเป็นพื้นที่สำรองอีกส่วนหนึ่ง โดยปริมาตรจุสัมภาระทั้งหมดอยู่ที่ 399 ลิตร มากกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ถึง 19 ลิตรด้วยกัน
มาดูที่ Jazz Hybrid ซึ่งได้เคยปรากฏตัวครั้งแรกมาแล้วในงาน Paris Auto Show เมื่อปี 2010 ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นรถรุ่นแรกในระดับ B Segment ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบเบนซิน-ไฟฟ้า และถึงแม้ว่ารถไฮบริดทั่วไปมักจะกินพื้นที่จุสัมภาระจากการที่ต้องมีการติดตั้งชุดแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่แต่ Jazz Hybrid กับไม่ได้รับผลกระทบใดๆมากนักในเรื่องนี้ โดยมีการติดตั้งชุดแบตเตอรี่ดังกล่าวใต้พื้นของพื้นที่ใส่สัมภาระท้ายรถ ทั้งที่ก็เนื่องมาจากมีการใช้ระบบ Magic Seats ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว ซึ่งเบาะทุกชิ้นสามารถถูกพับเก็บได้ทั้งหมด ขณะที่ฐานเบาะก็สามารถพับเก็บได้อีกต่อหนึ่งเพื่อเพิ่มระดับความสูงให้พื้นที่ภายในอย่างเต็มที่ ทำให้มีปริมาตรจุสัมภาระที่ 300 ลิตรและสามารถขยายได้เป็น 1,320 ลิตร (โดยนับไปจนถึงเพดานใต้หลังคา) นอกจากนั้นเบาะที่นั่งด้านหลังยังสามารถถูกพับไปยังด้านหลังเพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการใช้พื้นที่อีกด้วย
สำหรับภายในนั้น ห้องโดยสารมีการใช้สีเข้มเช่นเดียวกับรุ่นมาตรฐาน ส่วนชุดอุปกรณ์และแผงหน้าปัดใช้ไฟเรืองแสงสีฟ้า และถ้าหากไม่พอใจกับเบาะผ้าแล้วละก็ ลูกค้าสามารถเลือกใช้ชุดเบาะหุ้มหนังได้เช่นเดียวกับรุ่นมาตรฐาน

และตากการที่เป็นรถไฮบริด การออกแบบรูปโฉมภายนอกจึงต้องให้ดูแตกต่างไปด้วย ซึ่งในที่นี้ก็คือ แผงกระจังหน้าสีโครเมี่ยม ไฟหน้ามีดีไซน์เฉพาะที่ใช้กรอบสีฟ้าล้อมรอบ ไฟท้ายใช้โคมสีใส กันชนหน้า-หลังได้รับการออกแบบใหม่ ส่วนสีตัวถังเป็นสีเขียวเมทัลลิค Lime Green แต่ถ้าคุณคิดว่ายังดูไม่โดดเด่นเท่าที่ควร Honda มีชุดแต่ง Accessory ซึ่งได้แก่ อุปกรณ์ตกแต่งเล็กๆน้อยๆ สติ๊กเกอร์ ล้ออัลลอยลายใหม่ และยังมีของไฮเทคต่างๆให้เลือกด้วยเช่นกันคือ ระบบนำทางแบบ Solid State Drive(SSD) ระบบต่อเชื่อม Bluetooth และระบบความบันเทิงสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
หัวใจของ Jazz Hybrid ก็คือ ระบบขับเคลื่อน Integrated Motor Assist (IMA) ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดย Honda ที่ใช้กับรถไฮบริดรุ่น Insight และ CR-Z ซึ่งระบบไฮบริดนี้ประกอบด้วย เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.3 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้า ขนาด 14 แรงม้า ขับเคลื่อนผ่านเกียร์ CVT สำหรับอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงของรถไฮบริดรุ่นนี้อยู่ที่ 12.6 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดคือ 177 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในขณะที่อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4.5 ลิตร/100 กิโลเมตร โดย Honda อ้างว่า Jazz Hybrid คือรถในตลาดระดับ B-Segment ที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ “ที่สะอาดที่สุด” ด้วยอัตราการปล่อย CO2 เพียง 104 กรัม/กิโลเมตรเท่านั้น!
ที่มา autospinn

New Honda Civic Ti ปี 2011 พร้อมชุดแต่งบอดี้ Crystal Black GP เพียง 500 คัน

New Honda Civic Ti ปี 2011 พร้อมชุดแต่งบอดี้ Crystal Black GP เพียง 500 คัน แม้ว่า All-New Honda Civic เจนเนอเรชั่นใหม่กำลังมาจุติบนโลก แต่ Civic เจนเนอเรชั่นปัจจุบันยังคงความร้อนแรงไม่เลิก เมื่อ Honda ได้เปิดตัว Civic Ti Hatchback Limited Edition ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเวอร์ชั่นรถแข่งในรายการ British Touring Car Championship (BTCC) ซึ่ง Civic Ti รุ่นนี้ได้ใช้พื้นฐานจากเวอร์ชั่น 5 ประตู เครื่องยนต์ i-VTEC SE 1.4 และ 1.8 ลิตร ซึ่ง Honda ได้เพิ่มอุปกรณ์พิเศษต่างๆเข้ามาโดยมีมูลค่ารวมถึง 3,700 ปอนด์
Civic Ti มีสีตัวถังเพียงสีเดียวคือสีขาวมุก Premium White Pearl เสริมความเท่ด้วยล้ออัลลอย Pro Race สีดำด้านขอบ 17 นิ้วจาก Team Dynamics ซึ่งเป็นพันธมิตรรถแข่งของ Honda ในรายการ BTCC นอกจากนั้นยังมาพร้อมชุดแต่งบอดี้ Crystal Black GP ที่ประกอบด้วยสปอยเลอร์หน้าและหลัง(สีขาว) สเกิร์ตข้าง และสเกิร์ตท้ายรถ ภายในห้องโดยสารได้รับการติดตั้งระบบมัลติมีเดียจาก Pioneer ที่มาพร้อมระบบนำทางผ่านดาวเทียมแบบ Full Scale ระบบความบันเทิงและระบบสื่อสารที่ใช้จอแสดงผลระบบสัมผัสแบบ 3 มิติ
Honda เตรียมผลิต Civic Ti ออกมาเพียง 500 คันเท่านั้น โดยจะเริ่มจำหน่ายในเดือนมีนาคมนี้ในราคาเริ่มต้น 15,995 ปอนด์สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ 1.4 i-VTEC และ 16,995 ปอนด์สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร
ที่มา autospinn

เผยภาพ Spyshot Honda Civic คันจริง

เผยภาพ Spyshot Honda Civic คันจริง ถือว่าเร็วเอาเรื่องสำหรับฮอนด้า ซีวิคใหม่ เจนเนอเรชันที่ 9 ซึ่งในตอนนี้เรียกว่าพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าแล้ว เพราะทิ้งระยะจากการเปิดตัวต้นแบบที่งานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมาได้เพียงไม่ถึงเดือน ก็มีภาพ Spyshot ของคันจริงออกมาให้เห็นกันแล้ว โดยเป็นภาพที่ถูกบันทึกได้ขณะที่กำลังถูกบรรทุกจากโรงงานของฮอนด้าในญี่ปุ่นเพื่อไปส่งขายในตลาดสหรัฐอเมริกา
สำหรับเรื่องที่ว่าชื่อของซีวิคกำลังจะกลายเป็นอดีตในตลาดญี่ปุ่น ตรงนี้ยังไม่มีการยืนยันออกมา เพราะเป็นแค่ข่าวที่ถูกพูดถึงอยู่ในโลกอินเตอร์เนต แต่ที่แน่ๆ ในรุ่น Si ซึ่งเป็นรหัสแรงสำหรับขายในสหรัฐอเมริกา เหรือเทียบชั้นกับเวอร์ชัน Type R ในญี่ปุ่น หรือยุโรป ซีวิค Si อาจจะเมินเครื่องยนต์ K20A ที่เคยใช้กันมา และหันมาคบหากับขุมพลังที่มีความจุใหญ่ขึ้น อย่างเครื่องยนต์ 2,400 ซีซี
Spyshot Honda Civic
Spyshot Honda Civic
Spyshot Honda Civic
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ฮอนด้า แจ๊ซ ใหม่ เปรี้ยวจี๊ด ไม่มีเอาท์

เพิ่มทางเลือกให้กับวัยรุ่นอีกแล้วเมื่อ ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) ได้เปิดตัว ฮอนด้า แจ๊ซ ปรับโฉมใหม่ แม้การปรับครั้งนี้ฮอนด้าจะ “จัดให้” ดูรูปลักษณ์ เครื่องเคราที่เติมเข้ามา ก็สร้างความเร้าใจได้ไม่น้อย เพราะแจ๊ซใหม่นี้ดูสปอร์ตและท่าทางจะขับสนุก ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่นด้วยกันชนหน้า-หลัง ไฟหน้า กระจังหน้า ได้รับการออกแบบใหม่ ไฟท้ายและไฟเบรกดวงที่ 3 แบบแอลอีดี พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่ครบครันกว่าเดิม ทั้งสัญญาณกะระยะกันชน 4 จุด ไฟตัดหมอกคู่หน้า และยังได้ติดตั้งเครื่องเสียงพร้อมช่องต่อเชื่อมยูเอสบีให้ด้วย

ภายในตัวรถยังคงพื้นที่ใช้สอยไว้กว้างขวางเช่นเดิม ปรับพับเก็บเบาะหลังเพื่อบรรทุกของได้ตามความต้องการ ทั้งกระเป๋าเดินทาง ถุงกอล์ฟ ก็ยังไหวและเล่นสีสันด้วยโทนดำ-น้ำเงิน และน้ำเงินเข้ม โดยแจ๊ซใหม่ทุกรุ่นที่เปิดตัวครั้งนี้มาพร้อมถุงลมนิรภัยเอสอาร์เอส คู่หน้า และระบบป้องกันล้อล็อก (เอบีเอส) ซึ่งรถคันนี้ได้ยกระดับความปลอดภัยมาแบบจัดเต็ม

ฮอนด้า แจ๊ซใหม่มาพร้อมเครื่องยนต์ 1,500 ซีซี ไอ-วีเทค ขนาด 120 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติและเกียร์ธรรมดา สามารถใช้น้ำมันอี 20 ได้ มีให้เลือก 3 รุ่น คือ รุ่นเอส, รุ่นวี และ รุ่นท็อป เอสวี โดยรุ่นท็อปนี้ แต่งหล่อมาพร้อมกันชนหน้า-หลัง แบบสปอร์ต สเกิร์ตข้าง และล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว

ฮอนด้าได้เสริมภาพลักษณ์ แจ๊ซ เอสวี ให้เป็นรถสปอร์ตแบบเต็มพิกัด กระจก มองข้างปรับและพับด้วยไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย ทำให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์เพียงปลายนิ้วสัมผัส อีกทั้งยังควบคุมเครื่องเสียงที่พวงมาลัยได้เช่นเดียวกัน

สำหรับรถทั้ง 3 รุ่นนี้ ฮอนด้าเคาะราคาจำหน่ายระหว่าง 590,000-715,000 บาท มีให้เลือก 6 สี พร้อมสีใหม่คือ สีส้ม บริลเลียน แจ๊ซใหม่คงจะถูกใจใครหลาย ๆ คน เพราะตั้งแต่เปิดตัวในเมืองไทย ในปี 2544 จนถึงปัจจุบันมียอดจำหน่ายสะสม 130,000 คันเข้าไปแล้ว.
ที่มา เดลินิวส์

New Honda City Society ปี 2011 ไมเนอร์เชนจ์ล่าสุด ในราคาเริ่มต้น 6.618 แสนบาท

New Honda City Society ปี 2011 ไมเนอร์เชนจ์ล่าสุด ในราคาเริ่มต้น 6.618 แสนบาท บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวรถยนต์ Honda City รุ่น Society เพื่อตอบสนองผู้ต้องการรถยนต์สไตล์สปอร์ต รูปทรงโฉบเฉี่ยว สะดุดตา ที่เหมาะกับรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวัน
Honda City Society โดดเด่นด้วยสีขาวใหม่ บริลเลียนท์ ไวท์ เพิร์ล ให้ความสปอร์ตโฉบเฉี่ยว ด้วยเครื่องยนต์ i-VTEC ขนาด 1.5 ลิตร 120 แรงม้า ระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พร้อมอุปกรณ์มาตรฐาน เช่น ชุดเซนเซอร์ท้าย 4 จุด เพื่อความปลอดภัยยิ่งขึ้นขณะถอยหลัง นอกจากนี้ยังมีแผงคอนโซล LED เพิ่มความสวยงามให้ดูสปอร์ตยิ่งขึ้น ล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้วดีไซน์ใหม่ที่ถูกใช้อยู่ในคอนเซปต์คาร์รุ่น Brio และตราสัญลักษณ์ Society สำหรับภายในห้องโดยสารยังให้ความสะดวกสบาย ด้วยเบาะนั่งคนขับที่สามารถปรับความสูงได้ ช่องเก็บของใต้เบาะด้านหลัง ระบบเครื่องเสียง Advanced Audio ที่เชื่อมต่อกับ iPod ได้ สายเชื่อมต่อ USB ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ระบบกระจายแรงเบรก (EBD) และระบบช่วยเบรก (BA) พร้อมทั้งสามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิง E20

Honda City Society มีจำหน่าย 2 รุ่นด้วยกัน ได้แก่

City รุ่น V AT (SRS) ราคา 661,800 บาท
City รุ่น V AT ราคา 636,800 บาท

ที่มา: Honda,autospinn